พักระหว่างทาง
คนเข้มแข็งควรหัดอ่อนแอ
คนอ่อนแอควรหัดเข้มแข็ง

สำหรับผู้ที่จับจ้องแต่ยอดเขาแห่งความสำเร็จ การหยุดพักแลดูเป็นเรื่องน่ารังเกียจ เพราะทำให้การไปถึงจุดหมายนั้นต้องขยับออกไป แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าความเหนื่อยล้าเป็นเรื่องปกติของนักเดินทาง ไม่ว่าประสบการณ์มากหรือน้อย นักเดินทางย่อมมีอาการเหนื่อยด้วยกันทั้งสิ้น ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อทุกคนมิได้เหนื่อยในจังหวะเดียวกัน ความแข็งแรงของร่างกายและหัวใจที่แตกต่างทำให้บางคนทำระยะทางได้มาก บางคนทำได้น้อย บางคนเหนื่อยง่าย บางคนเหนื่อยยาก นักเดินทางหน้าใหม่ที่ร่างกายสมบูรณ์พร้อม มีความกระหายจุดหมายเป็นที่ตั้งอาจชิงชังเพื่อนร่วมทางที่อ่อนแอ เพราะเอาแต่ขอหยุดพัก

การเลือกเพื่อนร่วมทางจึงสำคัญยิ่ง มีอยู่สองสิ่งที่เป็นคุณสมบัติหลักของเพื่อนร่วมทางที่จะเดินทางไกลด้วยกันคือ หนึ่ง, มีศักยภาพใกล้เคียงกัน เพื่อไม่ให้ใครรู้สึกว่าเป็นตุ้มถ่วงของใคร ซึ่งเมื่อเกิดความรู้สึกเช่นนั้นขึ้นแล้วก็รังแต่จะทำให้ไม่สบายใจทั้งสองฝ่าย หากใครสักคนไม่ตรงกับคุณสมบัติข้อแรกที่ว่ามา ควรมองหาคุณสมบัติอีกข้อในตัวเขา นั่นคือ—เรารักเขาแค่ไหน หากคุณกำลังเดินทางอยู่กับคนที่คุณรักและใส่ใจ คุณย่อมพร้อมที่จะหยุดพักเมื่อคนที่คุณรักเอ่ยปากว่าเขาไปต่อไม่ไหว แน่นอน มันอาจทำให้การไปถึงจุดหมายช้าลง แต่การได้นั่งลงและสนทนากันก็นับเป็นห้วงเวลาที่ดีอีกแบบหนึ่ง เมื่อเดินทางกับเพื่อนร่วมทางที่ถูกคอถูกใจ การหยุดพักย่อมมิใช่อะไรที่น่ารังเกียจ

เพื่อนร่วมทางที่ดีทำให้การเดินทางทั้งเส้นทางคือความสุข ช่วงยากลำบากก็เป็นโอกาสที่จะได้พิสูจน์น้ำจิตน้ำใจ ช่วงเวลาสบายก็ได้สนทนาฮาเฮ เพื่อนร่วมทางที่ดีทำให้เราแยกไม่ออกระหว่างการเดินไปข้างหน้ากับการพักผ่อนสังสรรค์

การหยุดพักจึงเป็นเรื่องน่ารำคาญสำหรับคนที่ยึดตนเองเป็นศูนย์กลางเท่านั้น การเดินทางทำให้เราเรียนรู้ว่าศักยภาพคนนั้นไม่เท่ากัน มิเพียงไม่เท่า แต่ยังไม่เหมือน เพื่อนบางคนเดินช้าแต่เชี่ยวชาญด้านการทำอาหาร เพื่อนบางคนหยุดพักบ่อยแต่เมื่อถึงเวลาก็ตักข้าวตักปลาให้คนอื่นกิน หากคุณเบื่อหน่ายกับบางมิติของบางคน เพียงอดทนและอยู่ร่วมคุณอาจได้เห็นบางมิติที่น่าชื่นชมของเขา ไม่มีใครถูกใจใครไปทุกด้าน การเดินทางเปิดโอกาสให้เราเห็นด้านดีร้ายในความเป็นมนุษย์ปุถุชน สุดท้ายแล้วทุกคนก็เป็นคนที่ปะปนดีชั่วอยู่ในตัวคนเดียว

เดินทางไกลย่อมมีพักเป็นระยะเมื่อเหนื่อยล้า บางครั้งเป็นเรา บางทีเป็นเพื่อน ในแง่นี้การเดินทางไกลได้ฝึกให้เราเรียนรู้สองบทบาท เมื่อเป็นผู้ที่มีกำลังวังชาดี หากมีเพื่อนเหนื่อยล้า สิ่งที่ทำได้คือการยิ้มให้และปลอบใจ บอกกล่าวว่าไม่เป็นไร ยังหยุดได้ เรายังพอมีเวลา หยิบยื่นน้ำท่าให้แก่กัน เราไม่จำเป็นต้องรีบไปให้ถึงจุดหมาย เพราะผลลัพธ์สุดท้ายที่ควรคาดหวังจากการเดินทางไกลหาใช่การไปถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว หากคือการไปถึงจุดหมายครบทุกคน การไปถึงจุดหมายก่อนใครไม่น่าภูมิใจเท่ากับการไปถึงจุดหมายด้วยกัน เพราะนั่นเท่ากับว่า เราได้เรียนรู้หลายสิ่งระหว่างทางนอกจากมิติด้านการเป็นผู้พิชิต ใช่ เราได้เรียนรู้ที่จะเป็นผู้แพ้บ้างในบางเวลา ได้เรียนรู้ศาสตร์แห่งการเป็นผู้ตาม ลดความเอาแต่ใจ ลดอัตตา เรียนวิชาตัวเบา บทเรียนเหล่านี้ใช่ว่าสำคัญน้อยไปกว่าการพิชิตยอดเขาสูงส่ง หากซึมซับไว้ในใจ เราจะนำไปใช้กับยอดเขาถัดไปที่อยากป่ายปีน ไม่มีผู้ที่สามารถพิชิตยอดเขาตามลำพังได้ทุกลูกหรอก

ในอีกบทบาทหนึ่ง หากบางจังหวะเราต้องเป็นฝ่ายขอหยุดพักเพราะเหนื่อยล้า สิ่งที่ทำได้คือไม่ถ่วงเวลาเพื่อนนานหรือบ่อยจนเกินไป เมื่อไหวก็ลุกขึ้นสู้ต่อ ไม่ท้อง่ายจนเกินเหตุ หยุดในจังหวะที่ต้องหยุด และสู้ในจังหวะที่ต้องสู้ เรามิควรเป็นผู้ที่ทำให้เพื่อนร่วมทางทั้งหมดต้องเดินช้าโดยไม่จำเป็น นอกจากนั้นแล้วยังควรเรียนรู้จุดอ่อนของตนเอง เพื่อนำกลับไปปรับปรุงแก้ไขให้แข็งแกร่งมากขึ้นในการเดินทางครั้งต่อไป

ทั้งสองบทบาทที่กล่าวมา ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทไหน แก่นสำคัญของมันคือการคิดถึงหัวจิตหัวใจของอีกฝ่ายหนึ่ง คนแข็งแกร่งควรสวมหัวใจอ่อนแอในบางเวลา เช่นกันกับที่คนอ่อนแอต้องลองมองโลกในมุมของคนที่แข็งแกร่งเมื่อตัวเองท้อ ในแง่นี้ การเดินทางร่วมกันจึงเป็นการเดินทางภายในเพื่อความเข้าใจกันและกันไปในตัว

ยอดเขาแห่งความสำเร็จนั้นอยู่ไกล แต่มันไม่หนีไปไหน เราหยุดพักได้ในจังหวะที่ต้องหยุด แต่ก็ไม่ควรหยุดบ่อยเกินจำเป็น จริงอยู่ว่ายอดเขาที่เราอยากขึ้นไปพิชิตนั้นไม่ได้หนีไปไหน…
แต่มนุษย์ผู้มีความฝันนั้นมีเวลาจำกัด